วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

วัสดุที่ใช้ในการเชื่อม ฉาบ และปั้น ศิลาแลงเพื่อการบูรณะโบราณสถาน


จัดทำโดย

นักเรียนกลุ่มที่ 3/10


วิชา IS 2 (เผยแพร่ข้อมูล) โรงเรียนกำแพงเพชรพิทยาคม
.......................................................................


วัสดุที่ใช้ในการเชื่อม ฉาบ และปั้น ศิลาแลงเพื่อการบูรณะโบราณสถาน

*** หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
      ศิลปะปูนปั้นของไทยนิยมปั้นตกแต่งอาคารพุทธสถาน ปราสาทราชวัง โบราณสถาน เนื่องจากภูมิภาคที่แตกต่างกันจึงทำให้มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในแต่ละภูมิภาค ด้วยเหตุนี้วัสดุที่นำมาใช้ทำปูนจึงแตกต่างกันดังนั้นชื่อของปูนที่ใช้เรียกจึงแตกต่างกันซึ่งชื่อของปูนจะบ่งบอกลักษณะและส่วนผสมของปูน ดังนี้
            ชื่อเรียก
                                                 ข้อมูลของ
ปูนปั้น
เรียกตามลักษณะการปฏิบัติงานคือ การนำมาปั้นงานศิลปกรรม
ปูนโบราณ
เรียกตามการจัดทุกยุคสมัย
ปูนตำ
เรียกตามลักษณะขบวนการสร้างเนื้อวัสดุสำหรับใช้งาน
ปั้นปูนสด, ปูนสด
เรียกตามลักษณะสภาพเนื้อวัสดุที่เป็นอยู่ในขณะนำไปใช้ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับชื่อขบวนการปั้นสดด้วยปูนปลาสเตอร์
ปูนงบน้ำอ้อย, ปูนน้ำอ้อย, ปูนน้ำมัน, ปูนน้ำมันทั่งอิ้ว
เรียกตามส่วนผสมที่มีอยู่ในเนื้อวัสดุ

ปูนไทย, ปูนจีน, ปูนฝรั่ง
เรียกตามวัฒนธรรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาในทางช่าง
ปูนเพชร
เรียกตามคุณสมบัติที่แข็งแกร่งของเนื้อปูน เนื่องจากเมื่อแห้งและแข็งตัวแล้วจะแข็งแกร่งมากประดุจเพชร ปูนปั้นนี้มีมาแต่โบราณ มีอยู่ทั่วทุกภาคทุกพื้นที่ของอาณาจักรสยาม เมื่อมีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์มีการนำเทคนิคและวัสดุใช้งานแบบใหม่เข้ามา คือ ปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นที่นิยมมาก ขบวนการช่างไทยของเดิมถูกทอดทิ้งไป แต่ด้วยความรักและหวงแหนในวิชาช่างปั้นปูนสดของสกุลช่างเมืองเพชรบุรี แห่งจังหวัดเพชรบุรี และอีกหลายแหล่งในภาคอื่นๆ เช่น ช่างปั้นทางภาคเหนือ จึงสามารถอนุรักษ์ไว้ได้ ฝีมือช่างปั้นชาวเพชรบุรีเป็นที่ติดตาต้องใจของผู้คนเป็นพิเศษจนอาจเข้าใจว่าปูนเพชรแปลวปูนของช่างเมืองเพชรบุรีไป

ปูนหมัก
เรียกตามขบวนการผลิตเนื้อปูนที่ต้องหมักไว้ก่อนใช้งาน

-----------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------

วัสดุที่ใช้ในการเชื่อม ฉาบ และปั้นศิลาแลง
    จากการไปสัมภาษณ์คุณวีรศักดิ์   แรนระอาด  นักโบราณคดีปฏิบัติการอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อม ฉาบ และปั้น ดังนี้คือ ในสมัยก่อนมีปูนที่ใช้เชื่อม ฉาบ ปั้น เช่นในปัจจุบัน แต่ในสมัยก่อนจะใช้เป็นปูนที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติหรือที่เรียกว่าปูนหมักปูนตำ ตามหลักฐานในโบราณคดีไม่พบหลักฐานวัสดุที่ใช้และขั้นตอนการทำที่แน่ชัดเนื่องจากไม่มีการจดบันทึกที่เป็นทางการแต่เป็นการจดจำแบบสืบทอดต่อกันสอนกันมารุ่นสู่รุ่น  นักโบราณคดีในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรจึงสันนิฐานว่าปูนที่ใช้เชื่อมมีส่วนประกอบจาก ศิลาแลงบด  ดิน  น้ำอ้อย  เปลือกหอย ปูนฉาบมีส่วนประกอบจาก ปูนขาว ดิน  น้ำอ้อย  เปลือกหอยกาบหอย และปูนปั้นมีส่วนประกอบจากทราย ปูนขาว น้ำอ้อย   น้ำมันยาง  น้ำมันละหุ่ง  เปลือกไม้  แต่ในปัจจุบันปูนที่ใช้ในการบูรณะมีส่วนประกอบจาก  ปูนขาว ทราย  กาวหนังสัตว์  ยางไม้ต่างๆ น้ำอ้อย สูตรที่คณะผู้จัดทำได้ศึกษานี้เป็นสูตรที่ทางอุทยานประวัติศาสตร์ใช้ในการบูรณะ ซ่อมแซม ศิลาแลงภายในอุทยานโดยวัสดุส่วนประกอบที่ใช้ในทำปูน บูรณะ ซ่อมแซม นี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับภูมิภาค

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


วัสดุที่เป็นส่วนผสมของปูนตำ
           เรื่องส่วนผสมของปูนตำนั้น เท่าที่ศึกษามาแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน มีความหลากหลายกันมาก แต่อาจกล่าวได้ว่าไม่มีส่วนผสมใดๆ ที่จะหนีจากส่วนผสมของปูนขาว ทราย เส้นใย และกาวยึดไปได้ อาจพบบ้างที่นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ 4 อย่างนี้ แต่ก็สามารถจัดอนุโลมลงไปในวัสดุ 4 อย่างได้ทั้งสิ้น
                สำหรับสูตรปูนตำนั้น ที่ศึกษาพบก็มีความหลากหลายเช่นกัน แต่ปริมาณของวัสดุที่ใช้มากก็ยังคงเป็นปูนกับทรายเป็นหลักอยู่เหมือนของโบราณ นอกนั้นก็มีความแตกต่างกันแต่ละสูตรสัดส่วนของกลุ่มช่างแตกต่างกันตามสภาพท้องถิ่นที่มีวัสดุหาได้ง่าย และมีสิ่งแวดล้อมดินฟ้าอากาศ ความชำนาญที่แตกต่างกัน
เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา และเห็นชัดเกี่ยวกับความเหมือนและความต่างของส่วนผสมที่เป็นสูตรของปูนตำในครั้งอดีต ดังนี้
1.                  ส่วนผสมปูนตำและสูตรปูนตำเมื่อครั้งอดีต
1.1           ส่วนผสมปูนตำในอดีต
                ส่วนผสมและสูตรปูนตำเมื่อครั้งอดีตนั้น ไม่มีหลักฐานทางเอกสารที่ชัดเจน แต่อาจค้นคว้าได้จากชิ้นส่วนของปูนตำที่เหลืออยู่ เพื่อหาวัตถุที่ผสมกัน และอัตราส่วนโดยวิธีการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และการเรียนรู้สืบทอดต่อกันมาแต่อดีตกาล ในสายครูช่างปั้นปูนพอจะทราบ
                จากการศึกษาค้นคว้าหาดูตัวอย่างข้อมูลปูนตำโบราณที่ใช้ก่อ ฉาบ ปั้นลาย ปั้นภาพทั่วประเทศ 282 แห่ง โดยวิธีสุ่มเก็บตัวอย่าง 18 แห่ง และสุ่มจากตัวอย่างเพื่อเป็นตัวแทนแต่ละภาคออกมาได้ 8 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นของภาคเหนือ 2 ตัวอย่าง ภาคอีสาน 2 ตัวอย่าง ภาคตะวันออก 1 ตัวอย่าง ภาคกลาง 2 ตัวอย่าง และภาคใต้ 1 ตัวอย่าง จากการศึกษาวัสดุที่ผสมในปูนตำด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของ
นางจิราภรณ์   อรัณยะนาค ผู้อำนวยการส่วนวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์ กรมศิลปากร พบว่าทั้ง 5 ภาค มีส่วนผสมของปูน แคลเซียม ทราย และเส้นใยเป็นส่วนที่ปรากฏอยู่ สำหรับกาวหรือตัวยึดในปูนนั้นไม่พบ จะพบเป็นคล้ายยางไม้กับพบน้ำมันเฉพาะภาคเหนือ 2 ตัวอย่างเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่า การหากาวหรือตัวยึดไม่พบจากตัวอย่างภาคอื่นๆ จะเป็นเครื่องยืนยันว่าไม่มีกาวหรือตัวยึดในปูนตำเหล่านั้นไม่ได้ เพราะว่าจริงๆ อาจมีก็ได้ แต่ที่ไม่พบนั้น เพราะกาวสลายตัวไปหมดแล้ว เนื่องจากปูนตำที่ได้มาเป็นตัวอย่างนั้นมีอายุนานมากแล้ว จึงกล่าวไม่ได้ว่าปูนตำนั้นไม่มีกาวหรือตัวยึดผสมมาแต่แรก
                อาจารย์สงวน รอดบุญ ได้กล่าวไว้ในพุทธศิลป์สุโขทัย โดยสรุปว่า ปูนที่ใช้ปั้นนั้น แม้เป็นเวลานับพันปีก็ยังไม่เสื่อม ดังตัวอย่างปูนปั้นสมัยทวาราวดี การผสมปูนเท่าที่ทราบในสมัยทวาราวดี ประกอบด้วย ปูนขาว + ทราย + น้ำกาวจากหนังสัตว์ + น้ำยางจากเปลือกไม้ ซึ่งปัจจุบันเราอาจหาปูนปั้นสมัยทวาราวดีดูได้ในส่วนที่ยังพอหลงเหลืออยู่ อาจารย์สงวน รอดบุญ เคยไปช่วยราชการในประเทศลาวประมาณปี พ.ศ.2510 เศษ ได้ค้นคว้าพบว่าในประเทศลาวสมัยโบราณนั้นเขาใช้ปูนตำที่มีส่วนผสมคล้ายของไทย คือ ผสมด้วยวัสดุดังนี้
                “ปูนขาว + ทราย + น้ำอ้อย + ยางบง + กล้วย และในบางครั้งก็ใช้ปุยนุ่น หรือปุยงิ้วผสมลงไปด้วย” เพื่อให้เกิดการยึดเหนี่ยวกัน การปรุงปูนใช้วิธีตำหรือโขลกแบบไทย
                อาจารย์แนบ บังคม เคยกล่าวว่า “ปูนตำนั้นนับแต่โบราณเป็นต้นมาจะต้องมีส่วนผสม 4 อย่าง คือ ปูนขาว ทราย เส้นใย และกาวเสมอ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็ไม่พ้นหลักใหญ่ๆ ทั้ง 4 อย่างนี้

1.2           สูตรหรือสัดส่วนปูนตำในอดีต อาจารย์แนบ บังคม เคยอธิบายไว้ว่า “สำหรับสูตรหรือสัดส่วนที่ผสมเป็นปูนตำมีต่างกัน แต่พอจะคิดเป็นอัตราเฉลี่ยมีสัดส่วนต่อกันโดยยึดเป็นสูตรกลางๆ ได้ดังนี้ ปูนขาวหมักน้ำแล้วผึ่งหมาดๆ 5 ส่วน ทรายละเอียดสะอาดดีแล้ว 2 ส่วน เส้นใย 1 ส่วน กาวหรือตัวยึด 2 ส่วน แล้วนำมาตำหรือโขลกให้เข้ากันจึงจะใช้ได้

--------------
---------------------------------------------------------------------------------------------
คุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ฉาบ  เชื่อม และปั้นศิลาแลง
                ปูนตำในภาคต่างๆ ไม่ว่าภาคใดจะมีส่วนผสมสำคัญ 4 อย่าง คือ ปูนขาว ทราย เส้นใย และกาว สำหรับปูนขาวต้องบริสุทธิ์ ทรายต้องเป็นทรายสะอาด สองสิ่งนี้เป็นหลักสำคัญที่ทุกภาคใช้เหมือนกัน แต่สองสิ่งหลัง กล่าวคือ เส้นใย และกาวนั้น มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องที่ เพราะหาได้ไม่เหมือนกัน และกลุ่มช่างโบราณเชื่อกันว่า การใช้เส้นใยและกาวที่แตกต่างกันเป็นส่วนผสม น่าจะเป็นตัวชี้วัดถึงอายุ และคุณภาพของปูนตำด้วย นอกจากสภาพดินฟ้าอากาศ ความชื้น แรงสั่นสะเทือนที่มีอิทธิพลต่อปูนเหล่านั้น
                 ปูนขาว มีหน้าที่และประโยชน์ในฐานะเป็นวัสดุหลัก ที่จะรวมวัสดุอื่นให้เข้ามาอยู่ด้วยกัน ปูนขาวก็คือตัวแคลเซียม ซึ่งสามารถจะเป็นตัวยึดให้แข็งเป็นก้อนใหญ่ หรือสามารถยึดโยงโครงสร้างและห่อหุ้มพวกทรายไฟเบอร์ไว้ได้ และจะทำให้โครงสร้างแข็งตัวมากยิ่งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปนานเพราะอณูของแคลเซียมในตัวปูนขาวจะจับยึดกันเองอย่างทั่วถึงทำให้แข็งมาก ดังนั้น จึงต้องมีปูนขาวเป็นหลักในการทำปูนตำจะขาดเสียมิได้
                 ทราย    ทรายเป็นวัสดุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง มีหน้าที่และประโยชน์ คือ ทำให้ได้เนื้อปูนตำ (ปริมาตร) ในมวลรวม ซึ่งเม็ดทรายที่แทรกอยู่ในปูนตำนั้นจะทำให้เกิดความแข็งแรงแน่นตัว อีกทั้งทำให้เกิดการทรงตัวได้ดี ในขณะที่ปูนยังเปียกเพื่อใช้ปั้น และหลังจากปั้นเสร็จแข็งตัวแล้ว จึงต้องใช้ทรายผสมเพื่อทำหน้าที่และเพื่อเกิดประโยชน์ดังกล่าว จะขาดทรายมิได้
               เส้นใย (เปลือกไม้) เส้นใยก็เป็นวัสดุสำคัญที่ใช้ผสมปูนตำด้วยอย่างหนึ่ง หน้าที่และประโยชน์ของเส้นใย คือ ความเป็นเสี้ยน มีเส้นใยเป็นเส้นยาว จะทำหน้าที่เหนี่ยวรั้งกลุ่มอณูที่อยู่ภายในของก้อนปูนนั้นให้ติดกัน และเป็นตัวประสานมิให้เกิดการแตกร้าวร่วงได้ เส้นใยจึงมีบทบาทสำคัญตั้งแต่ปูนยังเปียก ธรรมชาติของเส้นใยส่วนใหญ่จะมีอายุสั้น สลายตัวได้ง่าย แต่ก็มีสิ่งทดแทน คือ เวลาผ่านพ้นไปนานๆ พวกแคลเซี่ยมในปูนจะจับตัวเป็นก้อนเดียวกันต่อไป แม้เส้นใยจะสลายตัวไปก็ยังมีความแข็งแรงคงรูปลักษณะไปได้อีกนานมาก ดังนั้น ในการทำปูนตำจึงต้องผสมเส้นใยลงไปด้วยจะขาดเสียมิได้
            ภาคเหนือ
 ทางภาคเหนือมีต้นสา ต้นข่อย ต้นกกมาก จึงเลือกที่จะใช้เส้นใยพืชจากต้นสา ต้นข่อย ต้นกก และหรือพืชเปลือกเสี้ยนเหนียว เช่น เถาวัลย์บางชนิด เป็นต้น รวมไปถึงป่าน ปอ ไหม ด้วย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ทางภาคเหนือนั้นมักจะใช้เส้นใยหลายชนิดผสมใส่ในปูนตำ เช่น เปลือกต้นสา เปลือกต้นข่อย เปลือกเถาวัลย์ และเปลือกพืชที่มีเส้นหรือเสี้ยนใยเหนียวละเอียด กระดาษร่ม ไพ่ กระดาษว่าว สมุดข่อย เชือกกล้วย ขนสัตว์ ฟางข้าว เปลือกปอ ผ้าฝ้าย เส้นด้าย เชือกจากพืช เศษผ้าฝ้าย เป็นต้น ส่วนท้องถิ่นใดจะนำวัสดุใดมาผสมเป็นเส้นใยก็ขึ้นกับการค้นหาได้
                ภาคอีสาน ทางภาคอีสานมีต้นปอ ต้นข่อย และเถาวัลย์เหนียวบางชนิดมาก จึงนิยมใช้เส้นใยของปอ เปลือกข่อย มาผสมในปูนตำ เพราะหาได้ง่ายในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็เป็นวัสดุอื่นที่นำมาผสม จากการศึกษาในท้องถิ่น พบว่า ภาคอีสานทำปูนตำโดยผสมวัสดุเส้นใยจำพวกเปลือกปอ เปลือกข่อย ต้นกก เชือกกล้วย กระดาษไพ่ ขนสัตว์ ฟางข้าว เส้นไหม ผ้าฝ้าย เส้นด้าย เปลือกเถาวัลย์บางชนิด และเปลือกไม้บางชนิดที่มีเส้นใยในท้องถิ่นใดจะใช้วัสดุใดก็สุดแต่จะหาได้
                ภาคตะวันออก ทางภาคตะวันออกมีพืชหลายชนิดที่สามารถนำไปใช้เป็นเส้นใยในปูนตำได้ เช่น เปลือกต้นข่อย เปลือกต้นปอ ต้นกก ฟางข้าว เชือกกล้วย ผ้าฝ้าย เส้นด้าย เชือกจากพืช เปลือกต้นเสม็ด ขนสัตว์ กระดาษไพ่ เปลือกเถาวัลย์ และเปลือกไม้ที่มีเส้นใยบางชนิด ในท้องถิ่นใดมีพืชหรือวัสดุใดมากหาได้ง่ายช่างก็จะใช้วัสดุนั้นผสมในปูนตำ
                ภาคกลาง ภาคกลางมีพืชและวัสดุหลายชนิดที่สามารถจำนำมาใช้เป็นเส้นใยกับปูนตำได้ ส่วนใหญ่จะคล้ายกับภาคตะวันออก เช่น เปลือกข่อย เปลือกปอ ต้นกก ฟางข้าว เชือกกล้วย ผ้าฝ้าย ขนสัตว์ เส้นด้าย กระดาษข่อย กระดาษว่าว ไพ่ เปลือกเถาวัลย์ และเปลือกพืชบางชนิดที่มีเส้นใย การเลือกนำมาใช้กับปูนตำขึ้นอยู่กับท้องถิ่นนั้นๆ
                ภาคใต้ ภาคใต้มีพืชและวัสดุหลายชนิดที่อาจนำมาเป็นเส้นใยผสมกับปูนตำได้ เป็นต้นว่า เปลือกต้นข่อย ต้นกก ฟางข้าว เชือกกล้วย เส้นด้าย กระดาษข่อย กระดาษว่าว ไพ่ เปลือกเถาวัลย์ และเปลือกไม้ที่มีเสี้ยนเป็นเส้นใยเล็กและเหนียว ในท้องถิ่นใดมีวัสดุใดมากช่างก็จะเลือกใช้วัสดุนั้นเป็นเส้นใยในปูนตำ จึงอาจกล่าวได้ว่าเส้นใยเป็นส่วนผสมที่สำคัญอย่างหนึ่งของปูนตำ ภาคใดท้องที่ใดจะใช้เส้นใยอะไร ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการจัดหาใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ เป็นสำคัญ
กาว (หนังสัตว์ ยางไม้ต่างๆ) กาวหรือตัวยึด เป็นวัสดุสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่างผสมใส่ในปูนตำด้วย หน้าที่และประโยชน์ของกาวหรือตัวยึดนั้น คือ ความเหนียวของกาวหรือตัวยึด เมื่อนำมาผสมกับปูน ทราย และเส้นใย แล้วจะเกิดการรัดตัวยึดเหนี่ยวแทรกระหว่างอณูของวัสดุ เชื่อมต่อเม็ดปูน เม็ดทราย และเส้นใยให้เข้ากัน และมีแรงดึงดูดกันโดยน้ำกาวหรือตัวยึดนี้ตั้งแต่ยังหมาดๆ แต่กาวก็เป็นวัสดุที่ไม่อาจคงสภาพได้นาน เพราะส่วนใหญ่แล้วมักเป็นพวกโปรตีน (หนังสัตว์) เป็นแป้ง (ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า) และเป็นพวกน้ำมัน (ทั่งอิ้ว, น้ำมันยาง) พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เป็นต้น ครั้นเมื่อได้รับตัวทำลาย เช่น แดด ฝน ก็จะสลายไปในไม่ช้า จึงมีอายุน้อย หาพบยากในปูนตำที่มีอายุนานปี แต่เมื่อกาวสลายตัวแล้วแคลเซียมในปูนก็จะจับยึดกัน จนแข็งจัดต่อไป อย่างไรก็ตาม กาวหรือตัวยึดก็เป็นส่วนผสมที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ในปูนตำชนิดที่ขาดเสียมิได้เช่นกัน   การใช้กาวในปูนตำอาจจำแนกความนิยมในการใช้ได้ตามภาคต่างๆ โดยประมาณ ดังนี้
                ภาคเหนือ  ทางภาคเหนือนิยมใช้กาวหรือตัวยึดอยู่มาก ตัวยึดบางอย่างน่าจะได้จากประเทศจีน เช่น น้ำมันทั่งอิ้วหรือฮับบั๊ก เพราะจีนใช้ปูนตำน้ำมันมาแต่โบราณ และไทยนั้นอยู่ใกล้จีน นอกนั้นมียางไม้ธรรมชาติที่สามารถนำมาเป็นตัวยึดได้หลายอย่าง นอกจากน้ำมันทั่งอิ้ว (ฮับบั๊ก) แล้ว ก็มีน้ำมันยาง น้ำมันสน ยางต้นรัก น้ำมันแก้ว ยางหรือน้ำมันจากต้นพืชบางชนิดที่เหนียว สามารถนำมาตำปนกับวัสดุปูนแล้วคงสภาพได้ดี ดังนั้น ทางภาคเหนือจึงนิยมใช้ยางหรือน้ำมันจากพืชมาใช้กับปูนตำมานานแล้ว ส่วนจะใช้วัสดุใดอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลือกหาใช้ได้สะดวกเป็นหลักในท้องถิ่นนั้นๆ
                ภาคอีสาน  ทางภาคอีสานนิยมใช้กาวจากหนังสัตว์ ยางหรือน้ำมันจากพืช เช่น ยางรัก ยางบง น้ำมันยาง น้ำมันแก้ว น้ำมันทั่งอิ้ว น้ำตาลจากต้นอ้อย (ตังเม) ข้าวเหนียวเปียก (ข้าวเหนียวต้มกับน้ำจนเปื่อย) และยางหรือน้ำมันจากพืชบางชนิด การที่จะนำส่วนใดไปผสมนั้น ขึ้นอยู่กับความสะดวก และการหาได้ง่ายในท้องถิ่นนั้นๆ
                ภาคตะวันออก  ภาคตะวันออกนิยมใช้กาวหนังปลา กาวหนังสัตว์ น้ำมันยาง น้ำอ้อย (ตังเม) ข้าวเหนียวเปียก ยางรัก และน้ำมันยางจากพืชบางชนิด
                ภาคกลาง  ภาคกลางใช้กาวหรือตัวยึดในปูนตำจากกาวหนังสัตว์หรือหนังปลา น้ำอ้อย หรือน้ำตาลโตนด ข้าวเหนียวเปียก ยางรัก น้ำมันยาง และอื่นๆ ที่เป็นตัวกาว หรือตัวยึดในปูนตำได้สุดแต่จะสะดวกหาสะดวกใช้ในพื้นที่นั้นๆ
                ภาคใต้  ภาคใต้นั้นใช้กาวผสมในปูนตำจากกาวหนังสัตว์หรือหนังปลา น้ำอ้อย และยางไม้บางชนิด การที่จะใช้ตัวยึดใดขึ้นอยู่กับความสะดวกในการหาใช้ในท้องถิ่นนั้นๆ
                จึงกล่าวได้ว่า กาวหรือตัวยึดนั้น เป็นส่วนผสมที่สำคัญสิ่งหนึ่งในปูนตำที่จะขาดเสียมิได้ สำหรับช่างจะใช้อะไรเป็นตัวยึด สามารถจะเลือกใช้ได้ตามความสะดวกในการหาและการใช้งาน ซึ่งจะแตกต่างกันตามสภาวะของท้องถิ่นนั้นๆ
......................................................................................................................................................................................
วิธีการสร้างวัสดุในการเชื่อม  ฉาบ  และปั้นศิลาแลง
สูตรที่สันนิษฐาน(ปูนที่ใช้เชื่อม)                          

      1.นำเศษศิลาแลงมาบด ตำให้ละเอียด
      2.นำมาผสมกับน้ำอ้อย เปลือกหอย กาวหนังสัตว์ ทราย
      3.เคี่ยวให้เข้ากัน
สูตรที่สันนิษฐาน(ปูนที่ใช้ฉาบ)                          
 
      1.นำเศษศิลาแลงมาบด ตำให้ละเอียด
      2.นำมาผสมกับน้ำอ้อย เปลือกหอย กาวหนังสัตว์ ทราย
      3.นำมาผสมกับปูนขาวเนื่องจากปูนที่ใช้ฉาบมักจะสีขาว
     4.เคี่ยวให้เข้ากัน
สูตรที่สันนิษฐาน(ปูนที่ใช้ปั้น)           
สูตรที่
1   
    1.ใส่ปูนขาว ใส่อิฐป่นและทรายละเอียด ลงในครก
    2.คนให้เข้ากัน แล้วตำไปเรื่อยๆ จนเข้ากัน
    3.เติมน้ำมันละหุ่งหรือทั่งอิ๊วลงไปทีละนิด เมื่อตำจนเข้ากันดีแล้วหยิบขึ้นบีบดู ถ้ามีรอยแตกยังใช้ไม่ได้    
      ต้องตำต่อไปอีกจนกระทั่งบีบดูแล้วไม่มีรอยแตกและนิ่มเหมือนกับดินน้ำมัน จึงจะใช้ได้ดี
สูตรที่ 2 (ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก) 
     1.ทรายร่อนละเอียด   ปูนขาวร่อนละเอียด   น้ำอ้อย   น้ำมันยาง  น้ำมันละหุ่ง   กล้วยตีบคำตาสมควร 
       นำส่วนผสมดังกล่าวนี้คนให้เข้ากัน
     2.นำส่วนผสมใส่ลงในครกกระเดื่องตำให้เหนียว จึงนำไป ปั้นลวดลายได้ตามความต้องการ
สูตรที่ 3    
      1.นำปูนขาว  ทรายละเอียด   น้ำอ้อย   น้ำต้มเปลือกไม้ ไก๋   น้ำต้มหนังควาย  น้ำได้จากการแช่ลูกสมอ   น้ำต้มผลมะตูม ผสมเข้าด้วยกัน
      2.นำไปตำกับครกกระเดื่อง ตำให้เหนียวนุ่ม แล้วจึงนำไป ปั้นลวดลายได้ตามความต้องการ

สูตรที่ใช้บูรณะซ่อมแซมในปัจจุบัน    
                  
     1.นำหินปูนมาเผาให้ร้อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี(ปูนขาว)
     2.นำหินปูน(ปูนขาว)ที่เผาแล้วมาตำ
     3.แช่น้ำจนได้ที่จะมีลักษณะคล้ายปูนหมัก
     4.นำมาผสมกับทราย   กาวหนังสัตว์  ยางไม้
     5.เคี่ยวให้เข้ากัน
                 สูตรปูนที่ใช้บูรณะ ซ่อมแซม ในปัจจุบัน ปูนเชื่อมและฉาบจะมีส่วนผสมที่คล้ายกัน แตกต่างกันที่ปริมาณส่วนผสมที่ใช้ ปูนเชื่อมจะมีความเหนียวน้อยกว่าปูนที่ใช้ฉาบ
.........................................................................................................................................................................................
วิธีปั้นและวิธีเก็บปูนที่เหลือ 
 สูตรที่ 1 ก่อนปั้นให้ละลายปูนด้วยน้ำให้เหลวพอสมควร ทาลงบนพื้นที่จะปั้นดอกหรือลวดลายเพื่อให้ปูนที่ปั้นติดแน่น จากนั้นจึงทำการปั้นลวดลาย หากปูนเหลือและต้องการเก็บไว้ปั้นในวันต่อไป ให้เก็บใส่หม้อหรือกระป๋องแล้วเทน้ำใส่จนท่วมปูนเพื่อกันปูนแห้ง จากนั้นจึงปิดฝา เมื่อจะใช้ในวันต่อไป ก็เทน้ำออกให้เหลือแต่ปูนที่ใช้ปั้นได้ ถ้าหากปูนแห้ง ให้ใส่ครกตำใหม่อีกครั้งหนึ่ง

 สูตรที่ 2 พื้นที่หรือผนังที่จะติดดอกหรือลวดลายต้องสะอาด ให้ใช้สำลีชุบน้ำมันละหุ่งหรือทั่งอิ๊วเช็ดถูให้ทั่ว จนกระทั่งไม่มีฝุ่นและแห้งสนิทไม่เปียกชื้น ใช้ปูนปั้นละลายด้วยน้ำมันละหุ่งหรือทั่งอิ๊วให้เหลวพอสมควร ทาลงบนพื้นที่จะทำการติดดอก อย่าทาให้มากเกินไป จากนั้นจึงทำการปั้นดอกลวดลายต่างๆ ส่วน ปูนที่เหลือจากงานที่ค้างไว้ หากต้องการที่จะเก็บไว้ปั้นในวันต่อไป ควรเก็บไว้ในกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด ก่อนที่จะปิดฝาให้เอาผ้าชุบน้ำมันละหุ่งหรือทั่งอิ๊วให้เปียกชุ่ม คลุมปูนในกระป๋องอีกชั้นหนึ่งแล้วจึงปิดฝาให้แน่น เก็บไว้ในร่ม อย่าให้ถูกแดดหรือความร้อน
.........................................................................................................................................................................................
สีของปูน
ถ้าต้องการให้เนื้อปูนมีสีดำให้ใส่ผงมินหม้อ (เขม่าก้นหม้อ)
ถ้าต้องการจะให้มีสีแดงให้ใส่ดินแดง
 
ถ้าต้องการให้เป็นสีเหลืองให้ใส่หรดาล    
ถ้าให้เป็นสีเขียวให้ใส่ขี้สนิมทองเหลืองหรือทองแดง 
ถ้าต้องการให้เป็นสีมุ่ย (เทา) ให้ใส่น้ำคราม
     จากนั้นจึงนำไปโบกฉาบตามความต้องการ ปูนจะเกาะตัวกันไม่กะเทาะออกโดยง่าย ถึงแม้อิฐข้างในจะผุไป ปูนนี้ก็จะยังเกาะกันอยู่
................................................................................................................................................................................
สรุป
           ในสมัยก่อนวัสดุที่ใช้เชื่อม ฉาบ และปั้นศิลาแลงนั่นก็คือ ปูน แต่เป็นปูนที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ จากการไปสัมภาษณ์นักโบราณคดีของอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ได้ข้อมูลว่า ปูนในสมัยโบราณไม่มีหลักฐานที่แน่นอนเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ทำ  วิธีการทำ และข้อมูลจากแหล่งต่างๆก็มีเพียงวัสดุที่ใช้ทำ วิธีการทำ ที่สันนิษฐานขึ้นมาจากร่า โดยแต่ละภูมิภาคจะมีปูนต่างชนิดกันไป ชื่อของปูนจึงแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำ ส่งผลถึงในปัจจุบัน  วัสดุ วิธีการ ทำปูนที่ใช้ในการบูรณะโบราณสถานจึงมีวัสดุที่ใช้แตกต่างกันโดยจะมีส่วนผสมหลักที่สำคัญอยู่ 4 ชนิดได้แก่ ปูนขาว ทราย  เส้นใย(เปลือกไม้)  และกาวยึด(หนังสัตว์ ยางไม้)
.....................................................................................................................................................................................